ธุรกิจช่วงโควิด-19 ระบาดรอบสองต้องบอกเลยนะคะว่าน่าเป็นห่วงมาก ๆ เพราะถึงแม้ว่าเราจะเรียนรู้วิธีการปรับตัวเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 มาบ้างแล้วจากการระบาดในรอบแรก แต่ผลกระทบทางเศรฐกิจที่สืบเนื่องมาจากครั้งแรกนั้นยังส่งผลกระทบอยู่
พอมาครั้งนี้ที่ประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงพีคของการแพร่ระบาดโรครอบใหม่อีกครั้ง จึงทำให้หลายกิจการต้องปิดตัวลง ส่วนธุรกิจที่ยังอยู่ก็ต้องปรับแผน เปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานกันวุ่นไปหมดเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ ซึ่งทางขวัญเองก็อยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกธุรกิจฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ไปให้ได้ ก็เลยอยากจะมาแนะนำยุทธศาสตร์การตลาด 5 วิธี ที่น่าจะช่วยให้ธุรกิจของทุก ๆ คนสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
ในคลิปด้านล่างนี้ขวัญได้แนะนำยุทธศาสตร์การปรับแผน ธุรกิจช่วงโควิด-19 เพื่อรับมือกับการระบาดรอบสองเอาไว้ 5 วิธีด้วยกัน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การตลาดที่ขวัญพิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเองนะคะว่ามีประสิทธิภาพและใช้ได้ผลจริง ๆ เมื่อปรับตามนี้แล้วธุรกิจของเราไม่เพียงแต่จะเอาตัวรอด ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้แบบไม่เจ็บตัว ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นให้ชื่นใจอีกด้วยค่ะ ขวัญอยากให้ทุกท่านที่ได้ดูคลิปหรืออ่านบทสรุปใต้คลิปจบแล้ว ลองนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนดูนะคะ
หัวข้อ (คลิกเลือกอ่านได้)
กลยุทธที่1 – ทำ ธุรกิจช่วงโควิด-19 ต้องหาจุดเด่นที่แตกต่างสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็ง
สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น เหมือนจะเป็นการเร่งให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีการปรับตัว ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าในช่วงโควิด นั่นก็คือการซื้อ-ขายออนไลน์ คนที่ไม่เคยขายออนไลน์เลยจะถูกผลักเข้าสู่การตลาดออนไลน์ให้ต้องมาเริ่มขายของในโลกออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, หรือ Marketplace ต่าง ๆ อย่าง Shopee Lazada Alibaba เป็นต้น เพราะลูกค้าที่จะมาซื้อหน้าร้านลดจำนวนลงจากผลกระทบของโรคติดต่อที่ระบาดอย่างหนักนั่นเอง
ส่วนคนที่ขายออนไลน์อยู่แล้วก็อาจจะเจอกับสถานการณ์คู่แข่งเพิ่มจำนวนเยอะขึ้นมาก ๆ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ต้องปรับแผนการตลาดกันใหม่ จากเดิมที่เคยใช้กลยุทธการจัดโปรโมชั่น ลดราคา ส่งฟรี แบบนั้นอาจจะไม่เพียงพอที่จะดึงลูกค้าแล้ว เพราะเจ้าอื่นก็จัดโปรแบบนี้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำอย่างเร่งด่วนเลยก็คือ การหาจุดเด่นของแบรนด์ ที่แตกต่างและโดดเด่น “เหนือคู่แข่ง” ให้ได้ ต้องหาจุดที่จะนำมาสื่อสารให้ได้ว่าทำไมลูกค้าจึงจำเป็นต้องซื้อสินค้า/บริการของแบรนด์เราเท่านั้น สินค้าหรือบริการของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไรบ้าง และที่สำคัญคือดีกว่าเจ้าอื่นที่เป็นคู่อข่งอย่างไร ในการสร้างแบรนด์นะคะ ให้จำไว้ง่าย ๆ เลยว่ามันคือการหาจุดเด่นของแบรนด์เราที่แตกต่างจากคู่แข่ง เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ลูกค้าสามารถแยกแยะแบรนด์ของเราออกจากแบรนด์ของคู่แข่งได้
ยกตัวอย่างเป็นหน้าเว็บไซต์ของบริษัทสตาร์ทอัพนาวของขวัญเอง จะเห็นว่านอกจากจะมีการแนะนำเบื้องต้นว่าทางบริษัทขวัญทำอะไรบ้างแล้ว เมื่อเลื่อนลงมาจะมีเซคชั่นหนึ่งค่ะที่บอกว่าทำไมต้องอบรมกับเรา ขวัญก็จะลิสต์ออกมาเป็นจุดเด่นที่สินค้า หรือบริการคอร์สอบรมของเราแตกต่างจากคู่แข่ง แบบนี้เป็นต้น
ธุรกิจของทุกท่านก็เช่นกันค่ะ อย่าเน้นขายสินค้าอย่างเดียว เวลาทำคอนเทนต์ต่าง ๆ ลงในเฟสบุ๊ค ไอจี เว็บไซต์ หรือ ทำโพสต์เพื่อยิงโฆษณา ต้องไม่ลืมเขียนจุดเด่นของธุรกิจเราลงไปด้วย ที่สำคัญคือต้องสื่อสารจุดเด่นนั้นผ่านทุก ๆ ช่องทางการตลาดที่เรามีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเกิดภาพจำในใจของลูกค้า ว่าถ้านึกถึงประเภทสินค้าหรือบริการนี้ ต้องนึกถึงแบรนด์เราเป็นอันดับแรก ๆ เช่นนี้จึงเรียกได้ว่าการสื่อสารแบรนด์มีประสิทธิภาพ
กลยุทธที่ 2 – อย่าลืมให้ความสำคัญกับการออกแบบ
การออกแบบแบรนด์ หรือที่เราเรียกว่า Brand CI , Brand Design เป็นสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องจากกลยุทธข้อแรกที่เป็นเรื่องของการสร้างแบรนด์ หาจุดเด่นของสินค้าหรือบริการของเราที่ดีกว่าและแตกต่างจากของคู่แข่ง แล้วนำมาสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม การที่จะให้คนจดจำแบรนด์ของเราได้ในระยะเวลาอันสั้น แค่อธิบายจุดเด่นอาจยังไม่เพียงพอ หรือ อาจจะใช้เวลานานกว่าคนจะจำได้ ดังนั้นเราจึงต้องใช้เรื่องของดีไซน์เข้ามาช่วย เช่น สร้างโลโก้ที่จดจำง่าย เลือกใช้คู่สีที่โดดเด่น การออกแบบฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ที่ดูแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ในท้องตลาด รวมไปถึงการออกแบบสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น โพสต์ลงเฟสบุ๊ค โพสต์ลงไอจี เหล่านี้เป็นต้น
ซึ่งการออกแบบที่ดีและมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยในเรื่องการสื่อสารจุดเด่นของแบรนด์ในกลยุทธข้อที่ 1ด้วยการสะท้อนตัวตนของแบรนด์ผ่านงานออกแบบ ช่วยสร้างการจดจำในใจลูกค้าได้แล้ว การออกแบบที่ดียังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือบริการได้อีกด้วยนะคะ อย่างที่เราพูดติดปากกันว่า “ดูแพง” “ดูมีระดับ” ฯลฯ แบบนี้จะช่วยสร้างความน่าเชือถือให้กับแบรนด์อีกทางหนึ่ง ช่วยให้เราสามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ
ขวัญอยากให้ทุกท่านลองสำรวจธุรกิจของตัวเองดูนะคะ ว่าธุรกิจของเรามีการออกแบบแบรนด์ ออกแบบแพ็คเกจจิ้ง ออกแบบโพสต์ หรือ สื่อการตลาดอื่น ๆ ได้สวยงามแล้วหรือยังเมื่อเทียบกับคู่แข่งของเรา ข้อสำคัญที่ต้องรู้ก็คือ การออกแบบแบรนด์ดีไซน์ที่ดี ต้องไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ต้องสื่อสารตัวตนของแบรนด์ และสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ด้วย
วิธีการดูว่าการออกแบบของเราดีหรือยัง ก็สามารถวัดได้จากเรื่องง่าย ๆ เช่น ดูว่าเมื่อโฆษณาสินค้าของเราปรากฏในหน้าฟีด ลูกค้าเห็นแล้วสามารถจดจำแบรนด์ของเราได้เลยหรือไม่ ลูกค้าเสิร์ช Google เห็นแพ็คเกจจิ้งแล้วรู้สึกว่าแบรนด์ของเราน่าเชื่อถือ สะดุดตา รู้สึกสนใจและสอบถามเข้ามาหรือไม่ หรือเมื่อลูกค้าเห็นคอนเทนต์ของเราในเฟสบุ๊คแล้วสนใจซื้อหรือไม่ แบบนี้เป็นต้นนะคะ
ให้เราลองไปเช็คลิสต์ดูนะคะ อาจใช้วิธีสอบถามลูกค้าเพิ่มเติมได้ด้วย ถ้าผลออกมาพบว่าการออกแบบของเรายังดีไม่พอ ก่อนที่เราจะไปลงเงินยิงโฆษณามากมาย ให้เราปรับในส่วนของดีไซน์หรือการออกแบบให้ดีก่อนค่ะ ถ้าใครที่ยังไม่รู้ว่าอยากได้ไอเดียดีไซน์สวย ๆ ก็ลองมาดูตัวอย่างที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ก็ได้นะคะ ชื่อว่า www.packagingoftheworld.com เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมผลงานการออกแบบสื่อการตลาดหลากหลายประเภท เช่น แพ็คเกจจิ้ง ฉลากสินค้า กล่องบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ซึงมีเกือบครบทุกประเภทธุรกิจเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ อาหาร เครื่องดื่ม ฯลฯ
กลยุทธที่ 3 – หาช่องทางการขายให้หลากหลายมากขึ้น
จากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้การขายแบบออฟไลน์ เช่น การมีหน้าร้าน การออกบูธสินค้า การจัดอีเวนท์ส่งเสริมการตลาดต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักหรือมีข้อจำกัด ทำให้ทำได้ไม่เต็มที่หรือทำไม่ได้เลยนะคะ ถ้าธุรกิจไหนที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำออนไลน์แบบเต็มรูปแบบ หรือยังไม่ได้เริ่มเข้ามาสู่โลกของออนลไน์เลยก็อาจจะประสบกับปัญหาขายของไม่ได้ หรือขายได้น้อยลง การเพิ่มช่องทางการขายจึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธที่ขวัญอยากเสนอให้ทุกคนลองปรับดูค่ะ
ช่องทางการขายที่ยังมีประสิทธิภาพมากและเหมาะกับ ธุรกิจช่วงโควิด-19 ก็คือการขายผ่านช่องทางออนไลน์นั่นเองค่ะ หรือบางคนที่มีการขายออนไลน์อยู่แล้วแต่อาจจะขายอยู่แค่ช่องทางเดียว เช่น Facebook หรือ Instagram อย่างเดียว ก็อาจจะต้องขยายสู่ช่องทางออนไลน์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายอีกด้วยค่ะ
แนะนำตัวอย่างช่องทางออนไลน์ที่เหมาะกับ ธุรกิจช่วงโควิด-19
วิธีการหาช่องทางออนไลน์ที่เหมาะกับสินค้าเราที่ทำได้ง่ายที่สุดเลยนะคะ ก็คือ การลองคิดดูค่ะว่าถ้าตัวเราเป็นลูกค้าและต้องการจะซื้อสินค้าประเภทเดียวกับที่เราขายอยู่ เราจะไปค้นหาที่ช่องทางใดบ้าง
1. Facebook
ขวัญยกตัวอย่างเช่น ช่วงนี้ขวัญต้องการซื้อกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊ค ขวัญก็จะเข้าไปดูพวก Facebook เพจต่าง ๆ ที่ขายกระเป๋าเป้ กระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คบ่อยหน่อย ดังนั้นในหน้าฟีดของขวัญจึงแสดงโฆษณาจากบริษัทที่ขายกระเป๋าแบบต่างๆ สำหรับการใช้ในชีวิตประจำวันเต็มไปหมดเลย
ทั้งนี้ก็เพราะอัลกอริธึ่มของ Facebook ตรวจจับว่าช่วงนี้ขวัญมีความสนใจและมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าประเภท “กระเป๋า” จึงนำส่งโฆษณากระเป๋าแบบต่าง ๆ มาให้ขวัญเต็มไปหมดเลย แบบนี้เราก็พอสรุปได้ว่า Facebook ก็เป็นช่องทางที่เหมาะกับสินค้าจำพวกกระเป๋าประเภทต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเราลองเลื่อนไปตามหน้าฟีดของเรา เราจะพบสินค้ามากมายเต็มไปหมดเลยนะคะ ไม่ใช่แค่กระเป๋าอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลการใช้ Facebook ของเราในช่วงนั้น ๆ เป็นอย่างไร ดังนั้นโฆษณาสินค้าบนหน้าฟีดของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปค่ะ
2. Google
นอกจาก Facebook แล้ว เราอาจจะลองไปดูช่องทาง Google ดูบ้าง โดยขวัญลองเสิร์ชคำว่ากระเป๋า macbook ไป ระบบการค้นหาของ Google ก็จะแสดงผลตามตัวอย่างด้านล่างนี้ค่ะ
จากภาพด้านบน จะเห็นว่ามีสินค้าประเภทกระเป๋า macbook มายิงโฆษณาเอาไว้กับ Google จำนวนมากเลยนะคะ วิธีสังเกตก็คือจะมีคำว่า Ad อยู่ข้างหน้าค่ะ หมายความว่าธุรกิจนี้ยิงโฆษณาสินค้าประเภทที่แสดงผลนี้ไว้กับ Google นั่นเองค่ะ ก็จะสรุปได้ว่า Google ก็เป็นอีกช่องทางออนไลน์หนึ่งที่เหมาะกับขายสินค้าจำพวกกระเป๋าประเภทต่าง ๆ แทบทุกประเภทค่ะ
สำหรับคนที่สนใจเรื่องการยิงโฆษณากับ Google นะคะ ขวัญมีบทความและคลิปเล่าเรื่องของ Google Ads เพิ่มเติมไว้ด้วยนะคะ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ “5 ประเภท Google Ads ที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้”
นอกจากนี้ ลองดูตัวอย่างด้านบนนะคะ จะเห็นว่าผลการค้นหาในอันดับที่ถัดลงมาด้านล่างจะไม่มีคำว่า Ad แล้ว นั่นหมายถึงเว็บไซต์ของธุรกิจที่แสดงผลนี้ ติดอันดับโดยธรรมชาติ กล่าวคือเว็บไซต์ธุรกิจของแบรนด์มีการทำ SEO ที่ดี ทำให้ Google ให้คะแนนเว็บไซต์ในอันดับสูงจนติดอันดับการค้นหาเป็นอันดับต้น ๆ หรือที่หลายคนเรียกว่า “ติดหน้าแรกของ Google” นั่นเองค่ะ ช่วยให้เพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น ได้รับความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้นด้วยค่ะ
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำ SEO ก็คือ เว็บไซต์ธุรกิจของเราติดอันดับการค้นหาเป็นอันดับแรกหรืออันดับต้น ๆ ในหน้าแรก โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาให้กับ Google แต่อย่างใด และเป็นการติดอันดับที่มีระยะเวลายาวนาน ไม่เหมือนกับการยิงโฆษณาที่เมื่อเราหยุดยิงโฆษณาแล้ว อันดับก็จะตกลงมา
คนที่สนใจเรื่อง SEO ขวัญมีเขียนบทความและมีคลิปอธิบายนะคะ สามารถ อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ “SEO ฉบับเข้าใจง่าย กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม” ได้เลยค่ะ
3. E-Marketplace
การนำสินค้าลงกับทาง e-marketplace ต่าง ๆ เช่น Lazada, Shopee, Alibaba, หรืออีกหลาย ๆ ที่ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ควรพิจารณานะคะ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มยอดขายมากขึ้นอีกทางหนึ่งแล้ว เว็บไซต์ที่เป็น e-marketplace เหล่านี้มีการโปรโมทที่เข้มข้นครบทุกช่องทางการตลาดออนไลน์เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Ads, IG Ads, Google Ads, SEO, etc. ซึ่งจะมีการเลือกนำเสนอสินค้าหลากหลายมาก
ที่สำคัญเลยนะคะ ไลฟสไตล์ของคนในปัจจุบันนิยมการช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดแบบนี้ อัตราการช้อปปิ้งออนไลน์ยิ่งพุ่งสูง ถ้าสินค้าเราโดดเด่นน่าสนใจด้วย และลงใน e-marketplace ด้วย ยอดขายก็จะเพิ่มมากขึ้น
สรุปเรื่องการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าก็คือ ถ้าที่ผ่านมาคุณไม่เคยขายออนไลน์เลย ให้เพิ่มช่องทางขายออนไลน์ โดยพิจารณาช่องทางหรือแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ วิธีง่าย ๆ ก็ตามที่ขวัญบอกไปด้านบนเลยค่ะ
ถ้าที่ผ่านมาขายแต่ในโซเชียลมีเดีย ใน Facebook อย่างเดียว เราก็อาจจะเพิ่มช่องทางการขายมากขึ้น เช่น เปิดไอจี ทำการตลาดบน Google ด้วยการที่มายิงโฆษณาให้หน้า Facebook หรือ Instagram ของเราแสดงผลบนหน้าการค้นหาของ Google ด้วย
ถ้าเรามีเว็บไซต์ธุรกิจ ที่ผ่านมาเคยแต่ยิง Google Ads อย่างเดียว ก็ให้เริ่มทำ SEO เพิ่มค่ะ เพื่อให้การติดอันดับหน้าแรกของการค้นหาบน Google นั้น ติดแบบยั่งยืน ติดนานโดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา นอกจากนี้ ในบางประเภทสินค้าก็สามารถลงขายใน E-marketplace ได้ก็ให้ลงไปด้วย เพื่อกระจายช่องทางการขายให้ได้มากที่สุด แบบนี้ก็จะได้ยอดขายเพิ่มมาอีกแน่นอนค่ะ
และจากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ ขวัญพบว่าในบางธุรกิจการที่เราพยายามทำช่องทางการขายที่หลากหลาย ทำให้บางครั้งเราอาจจะไปเจอช่องทางทองคำก็ได้นะคะ เช่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราขายในเฟสบุ๊คมาตลอดและยอดขายก็ไม่ค่อยจะดีเลย แต่พอเปลี่ยนมาขายเป็นแบบ Google Marketing แทน มีการยิง Google Ad ให้คนเข้าเว็บไซต์ พบว่ายอดขายดีกว่าเดิมมาก ขวัญจึงอยากให้ทุกคนลองปรับเปลี่ยนดูนะคะ
กลยุทธข้อที่ 4 – เรียนรู้การยิงโฆษณาและทำการปรับโฆษณาอย่างเป็นระบบ
หลังจากเราเพิ่มช่องทางการขายแล้ว สิ่งที่เราควรพิจารณาเพิ่มเติมก็คือการยิงโฆษณาบนแต่ละช่องทางค่ะ เพราะการที่เราเลือกช่องทางการขายที่หลากหลายแล้ว มันอาจจะยังไม่พอในกรณีที่สินค้าเรามีคู่แข่งจำนวนมาก และคู่แข่งของเราก็วางกลยุทธการตลาดในหลากหลายช่องทางเหมือนกันกับเรา เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยว่าช่องทางการขายแต่ละช่องทางที่เราตัดสินใจจะเพิ่มเข้ามาในแผนการตลาดของเรานั้นมียุทธศาสตร์อย่างไร เราจะต้องทำอย่างไรให้การขายในช่องทางนี้ถึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งการยิงโฆษณาจะมาช่วยให้เราชนะคู่แข่งได้สำเร็จ
และก่อนที่เราจะยิงโฆษณาไม่ว่าจะบนช่องทางไหนก็ตาม เราต้องเรียนรู้เรื่องการยิงโฆษณาในแต่ละช่องทางเสียก่อนนะคะ เพราะถ้าเราลงเงินค่าโฆษณาไปเลยโดยไม่ศึกษาวิธีการเสียก่อนผลที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย คือยอดขายไม่เท่าต้นทุนโฆษณาที่เสียไป
การเรียนรู้ต้องไม่ใช่แค่วิธีการขั้นตอนว่ากดตรงไหนอย่างไรเท่านั้น แต่เราจะต้องเรียนรู้ไปให้ถึงจุดที่ว่าทำยังไงถึงจะถูกต้อง ต้องปรับ Ad ปรับกลุ่มเป้าหมาย ปรับการยิงแอดอย่างไรให้มันคุ้มต้นทุน การที่เรายังได้เงินกลับมาไม่คุ้มกับค่าโฆษณาอาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่รู้วิธีการยิงที่ดีพอ หรือว่าเราอาจจะยังปรับ Ad ไม่เป็น
นอกจากนี้ ขวัญแนะนำว่าการทำ ธุรกิจช่วงโควิด-19 เราต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและมองตลาดตามความเป็นจริง ดังนั้น mindset ในเรื่องของการที่เราจะทำการตลาดออนไลน์ เปิดเพจ ทำคอนเทนต์ ทำเว็บไซต์ โดยไม่มียิงโฆษณาเลย อันนี้อาจจะไม่สอดคล้องกับการตลาดยุคปัจจุบันอีกต่อไป
ให้มองแบบนี้ค่ะว่า การทำการตลาดต้องมีการลงทุน และพวกค่าโฆษณา Facebook Ads หรือ Google Ads เหล่านี้ ก็ถือว่าเป็นงบการตลาดอย่างหนึ่งที่เราต้องบริหารและกันเงินลงทุนเอาไว้สำหรับทำในส่วนนี้ด้วย ซึ่งก็เกี่ยวข้องไปถึงกลยุทธการตั้งราคาสินค้า การจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการตลาดต่าง ๆ ที่เราต้องคิดส่วนต่างผลกำไรเผื่อไว้ลงงบโฆษณาด้วยเช่นกันนะคะ
ปัจจุบันไม่ใช่แค่ Facebook หรือ Google เท่านั้นนะคะที่มีโฆษณา ใน E-marketplace เจ้าใหญ่อย่างลาซาด้าก็ยังมี Lazada Ads แล้ว เพราะมีสินค้าจำนวนมากไปลงขายในลาซาด้า และมีหลายเจ้ามาก อาจเป็นหลายสิบหรือหลายร้อยเจ้าที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน ดังนั้นถ้าเราลงสินค้าไปและเราอยากให้คนเห็นสินค้าเราเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย เราก็ต้องยิงโฆษณา Lazada Ads ค่ะ
สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ เราควรที่จะไปเรียนรู้เพิ่มเติมว่าวิธีการยิงโฆษณาแต่ละช่องทางที่ดี ที่มีประสิทธิภาพ ต้องทำอย่างไร ในแต่ละช่องทางการขายมีประเภทในการยิงโฆษณากี่แบบ อะไรบ้าง แล้วแบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจของเรา ที่สำคัญคือศึกษาเรียนรู้วิธีการปรับ Ads อย่างไรให้คุ้มกับต้นทุนค่าโฆษณา ซึ่งในส่วนนี้ขวัญมีทำคลิปสอนวิธียิงโฆษณา และมีบทความให้ความรู้ทั้งแบบการสอนยิง Ads แบบสเต็ปบายสเต็ป หรือ สอนเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งสามารถดูเพิ่มเติมได้ค่ะ
อยากรู้เรื่อง Google Ads
อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ “5 ประเภท Google Ads ที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้”
อ่านบทความ “สอนเปิดบัญชี Google Ads สำหรับมือใหม่ แบบ Step-by-Step”
บทความและคลิปสอนการยิงโฆษณา Facebook
คลิปสอนการยิงแอด Facebook แบบสเต็ปบายสเต็ปดูได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมาย Facebook ก่อนยิงโฆษณา อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ
ยิงแอดให้แม่นยำมากขึ้น เรียนรู้วิธีสร้าง Facebook Custom Audience อัพเดทล่าสุด
ขยายตลาด เพิ่มฐานลูกค้า ด้วยเทคนิคยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ Lookalike Audience
กลยุทธข้อ 5 – เน้นการปรับตัวและหาวิธีการใหม่ ๆ ในการทำการตลาดอยู่เสมอ
จากสถานการณ์โควิด-19 แบบที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ การทำ ธุรกิจช่วงโควิด-19 ต้องอาศัยการปรับตัวเป็นหลักเพื่อให้เรานำพาธุรกิจไปได้ตลอดรอดฝั่ง อะไรที่เราไม่เคยทำ ต้องลองทำดูค่ะ
ขวัญยกตัวอย่างธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการปรับตัวนะคะ จากเดิมร้านอาหารที่เปิดให้คนนั่งทานได้ หรือ มาซื้อที่ร้านเพื่อนำกลับไปทานที่บ้าน ตอนนี้เราไม่สามารถพึ่งพาการขายแบบเดิมนี้เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยข้อจำกัดตามมาตรการลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีทั้งเรื่องการจำกัดจำนวนลูกค้านั่งทานในร้าน มีการล็อกดาวน์ มีการกำหนดระยะเวลานั่งทานในร้าน เป็นต้น
ส่งผลให้มีร้านอาหารจำนวนไม่น้อยเลยนะคะที่ต้องปิดตัวลง แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายร้านเลยที่ยอดขายโตวันโตคืน นั่นเป็นเพราะการรู้จักปรับตัวและทดลองหาวิธีการทำการตลาดแบบใหม่ ๆ นั่นเองค่ะ อย่างเช่น บริการ Delivery การเข้าร่วมกับ Grabfood, Line Man, Gojek หรือ บริการจัดส่งอาหารเจ้าอื่น ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายเต็มไปหมดเลย หรือ การจำหน่ายอาหารเมนู Take Home เป็นต้น
ถ้ารูปแบบอาหารของเราที่มีอยู่ไม่เหมาะสมเลยกับการจัดส่ง เพราะเน้นให้คนมานั่งกินในร้านอย่างปิ้งย่าง บาร์บีคิว ชาบู สุกี้ ก็แนะนำว่าให้ปรับตัวโดยคิดหาเมนูพิเศษสำหรับการ Take Home หรือ Delivery โดยโปรโมทเป็นเมนูพิเศษที่มีเฉพาะการจัดส่งหรือซื้อกลับบ้านเท่านั้น หรือ เป็นเมนูที่เตรียมให้ทุกอย่างแต่ให้ลูกค้านำไปทำทานเองที่บ้านต่อแบบง่าย ๆ เช่น ชุดชาบูแบบ Cooking DIY หรือ ชุดขนมเบื้อง DIY เป็นต้น ก็จะช่วยให้เป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้นค่ะ
และจากไอเดีย Delivery หรือ DIY นี้เอง จึงเกิดธุรกิจและสินค้าใหม่ที่มาแรงมาก ๆ ในช่วงล็อกดาวน์โควิด-19 ที่ผ่านมาหลากหลายธุรกิจเลยนะคะโดยไม่จำกัดแค่อาหารเท่านั้น แต่ธุรกิจการให้บริการแบบส่งตรงถึงบ้าน เช่น ช่างตัดผม Delivery , ช่างต่อเล็บต่อขนตาแบบ Delivery ก็มี หรือ สินค้าอุปกรณ์แบบ Cooking DIY อย่างหม้อทอดไร้นำ้มันก็มาแรงมาก ๆ เช่นกัน เหล่านี้คือ Success Case ของธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เกิดจากการปรับตัวบวกกับไอเดียสร้างสรรค์ได้อย่างดีนั่นเองค่ะ
สำหรับ ธุรกิจช่วงโควิด-19 แบบนี้ สิ่งสำคัญที่เราต้องโฟกัสก็คือ เราต้องอยู่รอดให้ได้ ค่ะ เราต้องลองวางแผนดู หากลยุทธ์ หาวิธีให้คนจดจำแบรนด์เราได้ ในรูปแบบใหม่ ๆ อยู่เสมอ อย่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ อย่าติดกับรูปแบบเดิม ๆ อย่าหมดมุก ลองปรับใหม่ไปเรื่อย ๆ ให้มันเหมาะสมกับธุรกิจของเรา เพื่อให้เราอยู่รอดไปได้ในสถานการณ์แบบนี้ รอจนวันที่สถานการณ์ดี เราค่อยกลับมาทำธุรกิจ ทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ขวัญขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้นะคะ 🙂
อย่าลืมติดตามข่าวสาร สาระ เรื่องราวดิจิตอล ฉบับเข้าใจง่ายได้ทุกวันที่ Facebook Fanpage ของ StartUp Now นะคะ STARTUP NOW Facebook Fanpage
อ่านเรื่องการตลาดดิจิตอลเพิ่มเติมได้ที่นี่ บทความการตลาดออนไลน์
อยากดูคลิปความรู้ดิจิตอลฉบับเข้าใจง่ายคลิปอื่น ๆ ไปเยี่ยมชมช่อง YouTube ของ StartUp Now กัน